
พิพิธเมืองคนดี : อาคารแสดงเรื่องราวความเป็นมาและเหตุการณ์ต่างๆ ของจังหวัดสุราษฎร์ธานี อาทิ เหตุการณ์เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จเยือนจังหวัดสุราษฎร์ธานี อดีตเมืองท่าข้าม ประวัติศาสตร์สะพานจุลจอมเกล้า เรื่องราวท่านพุทธทาส ภิกขุ ปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่ รวมถึงสวนโมกขพลาราม ฯลฯ
เปิดให้บริการ ฟรี ทุกวัน อังคาร - วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 10.00-18.00 น.
พิพิธเมืองคนดี ตั้งอยู่ที่ อาคารเชิงสะพานจุลจอมเกล้า ถ.จุลจอมเกล้า ต.ท่าข้าม อ.พุนพิน จ.สุราษฎร์ธานี โทร.0-7731-1833
วัดสถลธรรมาราม
ตั้งอยู่เลขที่ 31
บ้านพุนพินใต้ ถนนศิริรักษ์ ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 16
ไร่ 3 งาน 62 ตารางวา โฉนดที่ดินเลขที่ 17271
อาณาเขต ทิศเหนือจดที่ดินเอกชน ทิศใต้จดลำรางคลองวัดโพธิ์ ทิศตะวันออกและทิศตะวันตกจดที่ดินเอกชน
อาคารเสนาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถ กว้าง 5 เมตร ยาว 20
เมตร กุฎิสงฆ์ จำนวน 7 หลัง เป็นอาคารไม้ 4
หลัง และตึก 3 หลัง ศาลาอเนกประสงค์ กว้าง 15
เมตร ยาว 36 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2545
ศาลาบำเพ็ญกุศล จำนวน 1 หลัง เป็นอาคารครึ่งตึกครึ่งไม้ นอกจากนี้มีฌาปนสถาน
หอระฆัง โรงครัว และเรือนรับรอง ปูชนียวัตถุ มีพระประทานประจำอุโบสถ ปางมารวิชัย
ขนาดหน้าตักกว้าง 99 นิ้ว สูง 155
นิ้ว ปูชนียวัตถุอื่นๆ ได้แก่ พระพุทธรูปในศาลาอเนกประสงค์ 3
องค์ คือ สมัยเชียงแสน หน้าตักกว้าง 70 นิ้ว สูง 122
นิ้ว สมัยสุโขทัย หน้าตักกว้าง 38 นิ้ว สูง 75
นิ้ว สมัยอู่ทอง หน้าตักกว้าง 45 นิ้ว สูง 73
นิ้ว
วัดสถลธรรมาราม ตั้งเมื่อ พ.ศ.2450 วัดสถลธรรมาราม มีชื่อเรียกหลายชื่อ
เช่น วัดดอนเกลี้ยง วัดใน ไม่ปรากฎหลักฐานที่ชัดเจนว่าสร้างเมื่อใด
บริเวณที่ตั้งวัดเป็นที่ลุ่ม มีแม่น้ำตาปีอยู่หน้าวัด
และมีถนนกั้นกลางระหว่างวัดกับแม่น้ำ ด้านหน้าและหลังวัดเป็นทุ่งนา
การบริหารและการปกครองมีเจ้าอาวาสเท่าที่ทราบนาม คือ รูปที่ 1 พระวินัยธรน้าว
ปญฺญาวุธโธ พ.ศ. 2496-2517 รูปที่ 2 พระปลัดจินดา
พ.ศ.2518-2519 รูปที่ 3 พระอธิการมงคล
ฐานสาโร พ.ศ.2531-2533 รูปที่ 4 พระอธิการสุวรรณ
ฐิติวณฺโณ พ.ศ.2538-ปัจจุบัน การศึกษา มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม
เปิดสอนเมื่อ พ.ศ.2538
วัดท่าข้าม
ตั้งอยู่เลขที่ 1 บ้านท่าข้าม ถนนตาปีเจริญ
ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
ที่ดินตั้งวัดมีเนื้อที่ 18 ไร่ 4 ตารางวา น.ส.จ 4 เลขที่ 24298
243 น.ส. 3 ก เลขที่ 24134 อาณาเขต ทิศเหนือจดที่ดินเอกชน
ทิศใต้จดแม่น้ำพุมดวง ทิศตะวันออกจดแม่น้ำตาปี –พุมดวง ทิศตะวันตกจดที่ดินเอกชน
อาคารเสานาสนะ ประกอบด้วย อุโบสถ กว้าง 8 เมตร ยาว 26 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2521 เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
ศาลาการเปรียญ กว้าง 12 เมตร ยาว 26 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2498 เป็นอาคารทรงไทย 2 ชั้น กุฎิสงฆ์ จำนวน 13 หลัง เป็นอาคารไม้ 11 หลัง ครึ่งตึกครึ่งไม้ 2 หลัง ศาลาอเนกประสงค์ กว้าง 9 เมตร ยาว 12 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ.2542 ศาลาบำเพ็ญกุศล จำนวน 1 หลัง สร้างด้วยไม้ นอกจากนี้มี
ฌาปนสถาน หอระฆัง โรงครัว และเรือนเก็บพัสดุ ปูชนียวัตถุ มีพะรประธานประจำอุโบสถ
ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 67 นิ้ว สูง 95 นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ.2530 โดยมูลนิธิสว่างโพธิธรรม
พระประธานประจำศาลาการเปรียญปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง 32 นิ้ว สูง 45 นิ้ว สร้างเมื่อ พ.ศ.2543 มีปูชนียวัตถุอื่นๆ คือ
สถูปเจดีย์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ของหม่อมหญิงทิสสกุล
วัดท่าข้าม ตั้งเมื่อ พ.ศ.2398 ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา เมื่อ
พ.ศ.2405
เขตวิสุงคามสีมา กว้าง 40 เมตร ยาว 80 เมตร การบริหารและการปกครอง
มีเจ้าอาวาส เท่าที่ทราบนาม คือ รูปที่ 1 พระในโกฏิ พ.ศ.2290-2335 รูปที่ 2 พระกุฎิใหญ่ พ.ศ.2336-2388 รูปที่ 3 พระครูทิน พ.ศ.2389-2401 รูปที่ 4 พระจันทร์ พ.ศ.2402-2451 รูปที่ 5 พระสมุห์เผื่อน กสฺสโป พ.ศ.2452-2498 รูปที่ 6 พระมหาหวล สุคนโธ พ.ศ.2499-2502 รูปที่ 7 พระครูโอภาสคุณาธาร พ.ศ.2504-ปัจจุบัน การศึกษา
มีโรงเรียนพระปริยัติธรรมแผนกธรรม เปิดสอนเมื่อ พ.ศ.2504
ศาลพระยาท่าข้าม
พญาท่าข้าม
คงไม่มีใครปฏิเสธว่าความเชื่อ
ในสิ่งที่ลี้ลับกับสังคมไทย
ผูกพันกันมานับหลายร้อยปี ไม่ว่าทุกมุมเมืองไหน ศาลเจ้าพ่อเจ้าแม่มีให้เห็นกันทุกที่ นอกจากเป็นสิ่งที่เคารพบูชาแล้ว ยังเป็นที่พึ่งทางใจของคนในสังคมนั้น ๆ
อาจจัดได้ว่าการเป็นที่พึ่งทางใจนี่แหละเป็นที่มาของคำว่า “ศักดิ์สิทธิ์” ก็ว่าได้ แม้กระทั่งต้นไม้ใหญ่ ที่คนขับรถสิบล้อเปลี่ยนพวงมาลัยหน้ารถ เอาของเก่าไปแขวนไว้หลายคันก็แขวนกันหลายพวง กลายเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ไปโดยปริยาย
ที่ท่าข้าม
ใครเข้ามาตั้งหลักแหล่ง
หรือแม้ว่าเกิดมาก็ได้ยินคนเขาเล่ากันถึงเรื่องพญาท่าข้ามกันแล้ว ถามว่าพญาท่าข้ามเป็นใครมาจากไหน ทำไมจึงเป็นพญาท่าข้าม เห็นทีจะตอบให้ชัดเจน และแน่นอนที่สุดคงเป็นไปไม่ได้ เพราะถามไปถามมาไม่ว่ารุ่นไหนอายุเท่าใด ก็ได้รับคำตอบเดียวกันหมดว่า “ไม่รู้เหมือนกัน
เกิดมาจำความได้ก็เห็นศาลพญาท่าข้ามที่ริมน้ำต้นโพธิ์ริมทางรถไฟแล้ว” ในตลาดท่าข้ามก็มีศาลพญาท่าข้ามถึง 2
แห่ง อยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำตาปี ริมทางรถไฟข้างศาลเจ้าสุราษฎร์ อีกแห่งอยู่ในบริเวณวัดท่าข้าม ทั้งสองแห่งผมสงสัยว่า “พญาท่าข้าม” หรือ
“พระยาท่าข้าม” กันแน่ เพราะป้ายชื่อศาลที่ริมทางรถไฟใช้ว่า “พญาท่าข้าม” แต่ที่วัดท่าข้ามเขียนว่า “พระยาท่าข้าม” แม้กระทั่งบางคนยังเขียนสับสนกันอยู่ “พระยา” คือ
บรรดาศักดิ์ของขุนนางที่สูงกว่า “พระ” แต่ต่ำกว่า “เจ้าพระยา” ถือศักดินา ๑,๐๐๐-๑๐,๐๐๐ ไร่
ส่วนคำว่า “พญา” เป็นคำโบราณ หมายความถึง
เจ้าแผ่นดิน
ความเป็นใหญ่หรือหัวหน้า
ลองดูว่าตำนาน พญาท่าข้าม หรือพระยาท่าข้ามเป็นมาอย่างไร และน่าจะใช้คำไนดี.........
พญาท่าข้าม เป็นตำนานที่เล่าสืบกันมานานว่า เมื่อครั้งปลายกรุงศรีอยุธยา ทหารพม่าตีโรมรัญเผาผลาญกรุงศรีอยุธยาแตกสลาย แม่ทัพนายกองต่างส้องสุมผู้คน รวมตัวแบ่งแยกเป็นก๊ก เป็นเหล่าหลายชุมนุม เช่น
ก๊กพระยาฝาง, ก๊กพระเจ้าตาก และอีกมากมาย
ในสภาพที่บ้านแตกสาแหรกขาด
ต่างคิดกู้บ้านเมืองกันทั้งนั้น
หนึ่งในก๊กเหล่านั้นมีนายทหารขุนพลฝีมือเยี่ยมทั้งทางรบและเวทย์มนต์คาถา มาตั้งหักพำนักที่บริเวณเนินสูงของบ้านท่าข้าม อำเภอพุนพิน
ฤบริเวณควนท่าข้ามในปัจจุบัน)
ไพร่พลที่อพยพมามากมายต่างจัดหาเสบียงอาหาร ตั้งหลักแหล่งทำไร่นาเป็นชุมชนขึ้นมา
เรียกแถบที่ตั้งพำนักด้านล่างติดกับบนเนินสูง ว่า “นาศรีสงคราม”
ขุนศึกคนนี้มีตำแหน่งเป็นพระยา
เมื่อมาอยู่ที่ท่าข้ามได้จัดสร้างเครื่องรางของขลัง เป็นพระเนื้อดินเผา โดยเฉพาะพระยอดขุนพล เพื่อแจกจ่ายบำรุงขวัญในยามรบทัพจับศึก พระยาคนนี้มีวิชาอาคมกลายร่างเป็นเสือ หรือจระเข้ได้
ได้กลายร่างเป็นจระเข้ลงสู่แม่น้ำตาปี
อาศัยในบริเวณถ้ำใต้น้ำ
(บริเวณศาลพญาท่าข้ามริมทางรถไฟปัจจุบัน)
ว่ากันว่าตรงนั้นมีถ้ำใต้น้ำยาวกว่าสิบกิโลเมตร เคยมีคนเอามะพร้าวทาสีแดงผูกติดกันแล้วโยนเข้าปากถ้ำ ปรากฏว่ามะพร้าวไปโผล่ออกที่บ้านเกาะเหนอ เขตอำเภอเมืองโน่นทีเดียว ถามว่าใครเป็นคนเอามะพร้าวลงไปยัดใส่ที่ปากถ้ำ ก็ได้รับคำตอบว่า “เขาเล่ามา”
ขณะที่อยู่บ้านท่าข้าม
พญาท่าข้ามมีภรรยาหนึ่งคน คือ “แม่ยายถิน” ปัจจุบันมีศาลอยู่ที่ริมถนนตาปีเจริญ ชาวบ้านเรียกกันว่า “หลาแม่ยาย” เป็นที่เคารพของคนท่าข้ามอีแห่งหนึ่ง
ใครมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจมักจะไปบนบานศาลกล่าว แก้บนด้วย
ต้มเปียก ๒ คนหาม
คือข้าวจ้าวที่นำมาต้มให้เปียกๆ
คล้ายข้าวเหนียว
แต่ใช้ข้าวจ้าวแล้วใส่น้ำตาล
วิธีแก้บนต้องยกต้มเปียก ๒ คน
ไม่ว่าจะเป็นถ้วยเล็กหรือใหญ่ขนาดไหนก็ตาม
จะยกคนเดียวไม่ได้
ซึ่งก่อนหน้านี้พญาท่าข้าม
มีภรรยาเป็นสนมเอกในกรุงศรีอยุธยามาแล้วหนึ่งคน จากที่เชื่อกันว่า ถ้ำของพญาท่าข้ามยาวไปถึงเกาะเหนอนี่เอง ทำให้พญาท่าข้ามได้พบรักกับหญิงงามในละแวกนั้นอีกหนึ่งคนคือ “แม่ยายเกาะเหนอ” นอกจากนี้แล้วพญาท่าข้าม ซึ่งเป็นจระเข้เที่ยวล่องไปตามแม่น้ำลำคลองต่าง
ๆ ไปพักพิงที่ไหน ก็ได้ผู้หญิงในท้องถิ่นนั้นเป็นภรรยาเสมอ เช่น “แม่ยายบางบาน” ที่ตำบลท่าโรงช้าง “แม่ยายบ้านนา” ที่ตำบลน้ำนิ่ง อำเภอบานนาเดิม พญาท่าข้ามเที่ยวล่องไปทั่ว จนถึงเขตย่านดินแดง อำเภอพระแสง
เกิดไปชอบพอกับ “แม่ยายปากปัน” มีเนื้อเป็นสีทองชาวบ้านเรียกว่า “แม่ศรีวันทอง” อันเป็นคู่ของ “พญายอดน้ำ” เจ้าถิ่นซึ่งกลายร่างเป็นงู
เกิดการสู้รบกันระหว่างพญาท่าข้ามกับพญายอดน้ำ ทำสงครามกันจนเลือดแดงฉานไปทั่งคุ้งน้ำตาปีนอกจากนี้แล้วพญาท่าข้ามยังได้ “แม่ยายระนอง” “แม่ยายถลาง” จังหวัดภูเก็ต และ “แม่ยายม่วงเอน” อำเภอร่อนพิบูลย์ จังหวัดนครศรีธรรมราช เป็นภรรยาอีกด้วย นี่คือตำนานที่เล่ากันมา
พญาท่าข้าม....ตำนานแห่งจระเข้ในเมืองพุนพิน
.....อีกมุมมองหนึ่งสมัยที่แม่น้ำตาปีมีจระเข้ชุกชุม เป็นสัตว์ที่หวาดผวา กับชีวิตที่ต้องผูกพันกับแม่น้ำคลอง คนรุ่นก่อน
๖๐ ปีที่แล้วมา
คงจำได้ดีว่าตลาดท่าข้ามตรงไหนบ้างที่จระเข้มานอนเกยตลิ่งให้เห็นเป็นประจำ ยิ่งถ้าขึ้นไปแถวแม่น้ำพุมดวง แถวคลองอิปันทางโน่นละก็ จระเข้ชุมทีเดียว เรือสมัยก่อนจึงต้องใช้ไม้ไผ่เป็นซีก ๆ ทำเป้นคอกล้อมกั้นเรือไว้ ไม่ให้จระเข้มาคาบคนในเรือเอาไปกิน
แต่ถ้าเป็นเรือมีประทุนก็ล้อมคอกเฉพาะที่คนยืนแจว
ยิ่งเห็นได้ชัดว่าท่าข้ามมีจระเข้ชุมอย่างไร คุณลุงขอม
แก้วนาเส็ง อยู่บ้านหมู่ที่ ๒ ตำบลท่าข้าม
เคยอ่านนิราศถลางของรายมี
เมื่อเดินทางผ่านมาถึงท่าข้ามให้ฟังเมื่อสมัยผมเรียนชั้นมัธยมตอนต้นว่า
“......ถึงท่าข้ามน้ำวนเป็นก้นกระทะ
เห็นขยะวนติดวารีศรี
ที่ท่าข้ามคนข้ามไม่เห็นมี
ไม่เห็นที่คนข้ามน่าคร้ามกลัว
เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ทางขวา
หัวกุมภาวางถวายไว้หลายหัว
จระเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว
มองดูทั่วท่าข้ามน่าคร้ามจริง...”
นิราศถาง
เดิมทีเข้าใจกันว่าเป็นของสุนทรภู่
แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นคำประพันธ์ของนายมี
ศิษย์ของสุนทรภู่
ซึ่งประพันธ์ในสมัยแผ่นดินรัชกาลที่ ๓
ย่อมแสดงให้เห็นว่า
ดินแดนแถบท่าข้ามชุกชุมไปด้วยจระเข้
ถือเป็นจ้าวแห่งแม่น้ำลำคลอง
ความยิ่งใหญ่น่าเกรงขามจนได้สมญาว่า
“พญา”
นี่เอง
ที่ทำให้สายน้ำนี้น่าสะพรึงกลัวตามที่นายมีว่า “จระเข้เป็นเห็นว่ายอยู่หลายตัว มองดูทั่วท่าข้ามน่าคร้ามจริง”
ศาลไม้เล็ก ๆ
ริมฝั่งตาปีข้างศาลเจ้าสุราษฎร์
มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่มีใครทราบ
จนกระทั่งชาวจีนแต้จิ๋วในตลาดท่าข้าม
เข้ามาปรับปรุงศาลเจ้าที่เดิมทิ้งร้างไว้
ใกล้ต้นโพธิ์
และปรับปรุงสร้างอาคารศาลใหม่ใหญ่โตขึ้น
พร้อมทั้งสร้างรูปปั้นขึ้นมาเพื่อบูชาดังที่เห็นทุกวันนี้
คืนหนึ่ง นางฮั้ว เอกเพชร
ได้ฝันว่าพญาท่าข้ามยังอยู่ปกปักรักษาเมืองท่าข้าม จึงได้จัดทำพิธีเซ่นไหว้บูชาในทุก ๆ เดือน
๖
แต่ทำในช่วงตอนเย็นปฏิบัติติดต่อกันมาหลายปี กระทั่งนางนิวรรณา บูรณศิลป์
เดินทางกลับมาจากกรุงเทพ ฯ
ได้แจ้งให้นางเชย เอกเพชร ทราบว่าขณะที่ตนไปกรุงเทพนั้น ได้มีการเข้าทรงพญาท่าข้าม ในร่างทรงบอกว่าคนที่ท่าข้ามเซ่นไหว้ผิด ๆ
เพราะไปทำในช่วงใกล้พลบค่ำทำราวกับว่าตนเป็นผี
จึงให้เปลี่ยนมาทำพิธีตอนเช้า
ทุกวันพฤหัสบดีแรกของเดือน ๔ ทุกปี
พร้อมด้วยเครื่องเซ่นไหว้มี
หมูนอนตอง
(หมูย่างที่รองด้วยใบตอง), ปลาช่อนแป๊ะซ๊ะ, ข้าวเหนียว, เป็ด, ไก่, หัวมัน, ขนุน
และเครื่องบายศรี
พร้อมด้วยมโนราห์ นางเชย เอกเพชร
จึงได้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงชักชวนชาวท่าข้ามและผู้ที่ศรัทธา ปฏิบัติมาจนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลาสิบกว่าปีมาแล้ว
เหตุที่ต้องมีมโนราห์
เพราะเชื่อกันว่าพญาท่าข้ามชอบดูมโนราห์
การเซ่นไหว้แต่ละปี ว่ากันว่ายังเคยกลายร่างเป็นคนขึ้นมาชม บางครั้งขณะทำพิธีก็จะมาเข้าร่างชาวบ้าน คลานเป็นจระเข้ก็เคย
พระครูโอภาสคุณาธาร เจ้าอาวาสวัดท่าข้าม มีความเห็นว่าตามนิราศถลางของนายมี ตอนที่กล่าวว่า “เห็นศาลเจ้าเขาสร้างไว้ทางขวา หัวกุมภาวางถวายไว้หลายหัว” น่าเชื่อว่าศาลพญาท่าข้าม ต้องอยู่บริเวณวัดท่าข้าม จึงได้จัดสร้างศาลพระยาท่าข้าม ในที่ดินบริเวณวัดเมื่อปี พ.ศ.
๒๕๒๐ โดยหาทุนจัดสร้างจากการทำรูปเหรียญของพระยาท่าข้าม ทำพิธีพุทธาภิเษกในวันเสาร์ ๕
แต่ที่ดังกล่าวไม่ปรากฏหลักฐาน
หรือร่องรอยอะไรของการมีศาลเดิม
จึงต้องตรวจสอบว่า
นายมีเขียนนิราศเรื่องนี้
ขณะที่ไปหรือกลับจากเมืองถลางกันแน่
คนท่าข้ามมีความเชื่อว่า พญาท่าข้าม คือผู้ที่คอยปกปักษ์คุ้มครองคนดี การบนบานศาลกล่าว คืออีกวิถีชีวิตหนึ่งของคนเมืองนี้ อันเป็นที่พึ่งทางใจ ที่มีความผูกพัน ผสมกลมกลืนกระทั่งเป็นเอกลักษณ์หนึ่ง
ที่อยู่คู่สายน้ำตาปีและชนชาวท่าข้ามตลอดนานเท่านาน
อนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๖
สืบเนื่องจากวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน
๒๕๑๐คณะกรรมการลูกเสือจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ได้ประกอบพีวันคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่
๖) ณ สนามหน้าศาลากลางจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้ปรารภกันว่า ควรที่จะมีพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่
๖ เพื่อเป็นศรีสง่าของบ้านเมือง นายซ้อน
ศิวายพราหมณ์ ศึกษาธิการจังหวัดฯ จึงมีบันทึกถึงนายพร บุญประสพ ผู้ว่าราชการจังหวัดฯ
เสนอต่อคณะกรรมการจังหวัด ฯ นายสวัสดิ์
กนกวิจิตร มีหนังสือแสดงความจำนงบริจาคเงินจำนวน ๑๐,๐๐๐
บาท เพื่อเป็นทุนก้อนแรกในการดำเนินงาน หลังจากนั้นกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข
ได้ยกที่ดินส่วนหน้าของโรงพยาบาลสวนสราญรมย์ให้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์
และวันที่ ๑๐ มิถุนายน ๒๕๑๓ สภาจังหวัดได้มีมติเป็นเอกฉันท์
เห็นควรสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๖ ณ บริเวณโรงพยาบาลสวนสราญรมย์
ตำบลท่าข้าม อำเภอพุนพิน
จังหวัดสุราษฎร์ธานี
เนื่องด้วยเป็นที่ประทับของพระองค์เมื่อครั้งเสด็จเมืองสุราษฎร์ธานีในอดีต
วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๒๑ พิธีอัญเชิญ พระบรมรูปรัชกาลที่ ๖
ประดิษฐานบนพระแท่น ณ ลานพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ ๖
ลักษณะของพระบรมรูป รัชกาลที่ ๖ ทรงเครื่องแบบนายพลเสือป่าพรานหลวง
หล่อด้วยโลหะทองเหลือง
ผสมทองแดงแล้วรมดำ
ขนาดหนึ่งเท่าครึ่งพระองค์จริง
ปั้นโดย อาจารย์สนั่น ศิลากร